มาราธอน เป็นเรื่องความความทรมานจริงๆ ครับ ความเหนื่อยของของหัวใจไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องของความล้าของกล้ามเนื้อขานี้มาเป็นอันดับแรก ต้องหาวิธีปรับปรุงต่อไป ถ้าอยากจะวิ่งระยะนี้อีกครับ ส่วนเรื่องการบั่นทอนกำลังใจมีให้เห็นเป็นระยะๆ การที่เราเงยหน้ามองไกลๆ จะทำให้เรารู้สึกว่า มีความยาก และไม่น่าจะทำสำเร็จ เพราะระยะทางมันไกลมาก ไกลจริงๆ เราจะเห็นคนวิ่งยาวไปจนสุดสายตา ในใจก็คิดว่าเมื่อไหร่มันจะจบสักที อยากพักแล้ว แต่ถ้าเราก้มหน้ามองเท้าตัวเอง ไปเรื่อยๆ เราก็จะได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ก็คือ ค่อยๆ ทำไป เดี๋ยวมันก็สำเร็จเองแหละน่า
เป็นมาราธอนครั้งที่ 2 หลังจากที่วิ่งงาน Garmin Sub5 ที่สวนผึ้งเมื่อเดือนกันยายนปี 2019 ครับ หากจะเปรียบเทียบกันแล้วครั้งนี้ระยะทางดูเหมือนจะไกลกว่าที่วิ่ง Sub5 เมื่อครั้งที่แล้ว อาจจะเป็นเพราะเส้นทางที่จอมบึงที่มีลักษณะตรงอย่างเดียว มีโค้งบ้างนิดหน่อย ซึ่งช่วยบั่นทอนกำลังใจได้อย่างดีทีเดียว เมื่อมองไปแล้วยังเห็นคนวิ่งกันยาวจนสุดลูกหูลูกตา
การเตรียมตัวสำหรับงานในครั้งนี้ก็เตรียมมาเป็นอย่างดีครับ อาศัยดูข้อผิดพลาดจากครั้งที่แล้วและพยายามปรับปรุงแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องกล้ามเนื้อขาที่จะหมดแรงตั้งแต่กิโลเมตรที่ 30 ขึ้นไป พอมางานครั้งนี้ก็ไม่ต่างกันเลยครับ 555 เป็นเหมือนเดิม ขาจะเกิดอาการก้าวไม่ออกตั้งแต่กิโลเมตรที่ 30 ขั้นไป ใจนะอยากจะทนก้าวไปเรื่อยๆ แต่ถ้าฝืนไปตะคริวก็จะมา ก็อาศัย หยุดนวดและยืดเหยียดเอาทุกๆ 500 เมตรครับ บางกิโลเมตรก็พยายามฝืนวิ่ง แต่ดูเหมือนตะคริวลูกเล็กๆ มันจะเริ่มขึ้นที่น่องขาขวา ก็เลยคิดว่าไม่เสี่ยงดีกว่า ค่อยๆ วิ่ง ค่อยๆ นวดไปกลัวจะไม่จบ
แผนในการวิ่งครั้งนี้ก็คือ จะหยุดที่จุดกินน้ำทุกๆ จุดเพื่อให้อัตตราการเต้นของหัวใจลดลง แต่จะดื่มน้ำไม่เยอะ กลัวจะจุกซะก่อน แค่สักประมาณ 4 อึกก็พอ เพื่อไม่ให้คอแห้งจนเป็นอุปสรรคระหว่างวิ่ง
แผนการเติมเจล หรือพลังงานแบบซองก็คือ กิโลเมตรที่ 15, 25, และ 35 สังเกตได้อย่างหนึ่งก็คือถ้าเวลาท้องเรารู้สึกหิวตอนขณะวิ่ง แสดงว่าพลังงานเราเริ่มจะหมดแล้วครับ
ช่วงกิโลเมตรแรก ถึงกิโลเมตรที่ 15
เป็นช่วงที่สบายอยู่แล้ว เพราะเป็นระยะวิ่งปกติที่เคยซ้อม ก็ทำความเร็วไปได้สบายๆ อยู่ในช่วง pace 5:00 – 6:30 ช่วงนี้ถนนจะมืดอยู่ คือมองไม่เห็นต้นแถวด้านหน้า ขอดีก็คือเราได้วิ่งกับตัวเอง ไม่ต้องกดดันมากนัก ก็สบายๆ ไปได้เรื่อยๆ
ช่วงกิโลมเตรที่ 15 – 20
เริ่มมีเนินซึมๆ ให้ไต่ระดับ พร้อมกับระยะทางที่ตรงยาวๆ ช่วงนี้เริ่มบั่นทอนกำลังใจ เพราะจะเริ่มตึงๆ ที่ขา แต่ก็อาศัยสูตรเดิมคือ แวะจุดดื่มน้ำทุกจุดเพื่อพักขา ช่วงนี้จุดดื่มน้ำจะเริ่มมีกันถี่ๆ คือทุกๆ 1 กิโลเมตรเลยก็ว่าได้ บางจุดเราก็กลัวจะเสียเวลา เลยเปลี่ยนแผนใหม่คือ แวะจุดดื่มน้ำแบบจุด เว้นจุด เพื่อไม่ให้เสียเวลามากจนเกินไป
ช่วงกิโลเมตรที่ 20 – 24.5 ก่อนถึงจุดกลับตัว
ช่วงนี้เริ่มมีหยุดยืดขาบ่อยครั้ง พระอาทิตย์เริ่มโผล่จากขอบฟ้าและเริ่มเห็นแสงสว่าง พร้อมกับเนินเขาแบบซึมๆ ที่เห็นไกลอยู่ริบๆ … ยังๆ แค่นั้นยังไม่พอ มีการติดหลอดไฟตรงข้างทางให้เราเห็นว่าเนินมันยาวและไต่ระดับขึ้นและลงอย่างไร 555 ซึ่งช่วยบั่นทอนกำลังใจเข้าไปอีกครับ
ก่อนถึงจุดกลับตัวที่กิโลเมตร 24.5 เริ่มมีอาการจุดท้องด้านขวานิดๆ อาจจะเป็นเพราะดื่มน้ำเยอะไป พอดีช่วงกลับตัวมีห้องน้ำ แวะฉี่ อาการจุกก็หายไป
ช่วงกิโลเมตรที่ 25 – 30
ช่วงนี้เริ่มมีคนหยุดเดิน และมีคนหยุดยืดเหยียดกันเป็นระยะๆ ซึ่งก็เป็นแรงดึงดูดอย่างดีทีเดียวที่จะทำให้เราหยุดตามด้วย 555+ ช่วงนี้ขาเริ่มก้าวไม่ออก มีบางช่วงที่เป็นทางลาดลง ก็พอเพิ่มความเร็วได้นิดหน่อย เริ่มมีคนแซงไปเรื่อยๆ อันดับเริ่มตกไป แต่ pacer 5 ชม. ก็ยังตามหลังอยู่ไกลๆ ยังไงก็คิดว่าปลอดภัยครับ อิอิ
ช่วงกิโลเมตรที่ 30 – 35
ช่วงนี้หนังชีวิตเริ่มมา คือก้าวขาไม่ค่อยออกจริงๆ วางแผนไว้ว่าจะหยิบเอาน้ำมันมวยออกมานวดทุกๆ จุดบริการน้ำ บางครั้งก็มองไปไกลริบๆ แต่ไม่เห็นจุดบริการน้ำสักที ก็เลยเปลี่ยนแผนใหม่ ก้าวขาไม่ออกตรงไหน ก็หยุดนวดมันตรงนั้นเลย สรุปก็คือ ไปได้ไม่ไกลเกิน 500 เมตร ก็ต้องหยุดนวด ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ช่วงนี้เองที่ pacer 5 ชั่วโมงไล่ตามทัน และวิ่งผ่านเราไปแบบไม่ใยดี แง๊ ….
หลังจากนวดเสร็จ ยืดเหยียดนิดหน่อย ก็พอให้ขาพาร่างไปได้เรื่อยๆ ครับ
ช่วงกิโลเมตรที่ 35 – 40
ช่วงนี้หนังชีวิตเริ่มถึงจุดพีค ดวงอาทิตย์ก็เริ่มขึ้นโด่ง แต่ก็ไม่รู้สึกร้อนเท่าไหร่ เพราะมีหมอก PM2.5 คอยกรองแสงอาทิตย์ไม่ให้ร้อนจนเกินไป แล้วก็ยังมีต้นไม่้ริมทางไปเรื่อยๆ ช่วงนี้ตากล้องเริ่มมีเยอะครับ จุดนี้ยังพอเจอนักวิ่ง ระยะฮาล์ฟอยู่บ้าง จุดบริการน้ำและเวทีข้างทางเริ่มเก็บของกันแล้ว มีเจ้าหน้าที่คอยให้กำลังใจตลอดว่าทุกคนได้ผ่านมาถึงกิโลเมตรที่ 35 แล้วนะ ให้ไปต่อเหลืออีกนิดเดียว แต่ขาก็ยังเหมือนเดิมครับ ไปไกลได้แค่ 500 เมตร แล้วก็ต้องหยุดนวดและยืดเหยียด
ช่วงกิโลเมตรที่ 40 – 42.195
เริ่มมีเสียงเชียร์มาเรื่อยๆ ว่าเหลืออีก 2 กิโลเองครับ แต่ขาก้าวไม่ออกแล้วครับ 55 ยิ่งช่วงนี้ช่างภาพมีเยอะด้วย บางทีก็ตัดสินใจเอาว่า ไม่ขอภาพสวยๆ มันละ เพราะตรูอยากเดินมากๆๆ 555 ก็เดินมันต่อหน้าช่างภาพนี่แหละ รับรองงานนี้ภาพเดินเยอะแน่นอน
กิโลเมตรที่ 42.195 เข้าเส้นชัย เหมือนฝันไป ในใจคิดว่า กรูรอดตายแล้วโว๊ยยยย ….
สรุป
มาราธอน เป็นเรื่องความความทรมานจริงๆ ครับ เรื่องอัตราการเต้นของหัวใจไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องของความเหนือยล้าของกล้ามเนื้อขานี้มาเป็นอันดับ 1 อ่ะ ต้องหาวิธีปรับปรุงต่อไป ถ้าอยากจะวิ่งระยะนี้อีก ส่วนเรื่องการบั่นทอนกำลังใจมีให้เห็นเป็นระยะๆ การที่เราเงยหน้ามองไกลๆ จะทำให่้เรารู้สึกว่า มีความยาก และไม่น่าทำสำเร็จ เพราะระยะทางมันไกลมาก ไกลจริงๆ จะเห็นคนวิ่งไกลๆ อยู่ริบๆ แต่ถ้าเราก้มหน้ามองเท้าตัวเอง หรือมองแค่ระยะสายตาแบบไม่ไกลมาก เราก็จะได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ก็คือ ค่อยๆ ทำไป เดี๋ยวมันก็สำเร็จเองแหละน่า
การวิ่งครั้งนี้ ไม่เจอปิศาจที่กิโลเมตรที่ 35 หรือกิโลที่ไหนๆ หรอกครั้บ ปิศาจจริงๆ มันอยู่ในใจเรามากกว่าที่จะทำให้เราไปต่อ หรือจะเลิกล้มความตั้งใจ ถ้าไปต่อ ก็อย่ามองกาลไกลมาก ขอแค่ให้เริ่มทำ และทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แค่เริ่มในสิ่งเล็กๆ เดี๋ยวความสำเร็จมันก็จะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เอง
และนี่คือสิ่งที่ จอมบึงมาราธอน 2020 ได้สอนผม และผมได้เรียนรู้แล้วครับ
ขาหายระบมแล้ว ปีหน้าไปซ้ำต่อได้ 555+
บทประพันธ์ของ อาจารย์สุชิน ประพันธ์พจน์
ก่อนปล่อยตัวระยะมาราธอน 42.195kเวลานัด 4 นาฬิกา พาสุขสันต์ มาพร้อมกันด้วยใจมาตรหมายปราถนา มาสัมผัสตำนานของกาลเวลา ที่จอมบึงมาราธอนบันทึกจารึกไว้
ไม่ได้มาวิ่งไล่ใครในวันนี้ มาวิ่งด้วยเจตนาดีมากมีให้ กับงานดีๆ มีอันดับประทับใจ ที่ลือเลื่องทั้งใกล้ไกลไว้คู่กาล
ต่างยิ้มพยัตย์ทักทายสานสายสัมพันธ์ ก่อนล่าฝันด้วยเพลงก้าวที่ห้าวหาญ ประกาศเชิงประกาศชั้นประกาศชาญ ไว้บอกเล่ากล่าวขานกันสืบไป
ถ้าแซงเขาไม่ได้ไม่ต้องฝืน อย่าแข็งขืนทุกแง่งเงื่อนการเคลื่อนไหว ค่อยๆ คล้อย ค่อยๆ เค้น เข้าเส้นชัย ก็สร้างความประทับใจได้เหมือนกัน
และกับวันนี้ของทุกชีวิต ที่มีสิทธ์มาวิ่งตามหาความฝัน ผลจะเป็นประการใดไม่สำคัญ จงภูมิใจกับคืนวันกาลเวลา
ที่ได้มาร่วมวิถีเป็นสีสรรผสาน มาเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันมีค่า ความภูมิใจคือรางวัลอันตึงตรา ไม่ว่าจะมีชัยหรือพ่ายแพ้